การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (Preimplantation Genetic Testing – PGT ซึ่งในอดีตมักเรียก PID หรือ PGD) เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง ช่วยตรวจคัดกรองตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ลดโอกาสถ่ายทอดโรคพันธุกรรมรุนแรงหรือสาเหตุทางพันธุกรรมของการแท้งซ้ำ โดยไม่ต้องรอให้ตั้งครรภ์ก่อน บทความนี้สรุปให้เข้าใจง่ายว่า PGT ในประเทศไทยทำอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง ค่าใช้จ่ายโดยประมาณเท่าไร และกรอบกฎหมายไทยกำหนดอะไรไว้บ้าง
การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนฝังตัวคืออะไร?
ในทางปฏิบัติ PGT คือการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนที่ได้จากการรักษาด้วย IVF หรือ ICSI โดยเมื่อตัวอ่อนเลี้ยงถึงระยะบลาสโตซิสต์ แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อเซลล์เล็กน้อยจากส่วน Trophectoderm ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ ก่อนเลือกตัวอ่อนที่มีผลตรวจเหมาะสมกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ปัจจุบันในระดับสากลใช้คำว่า Preimplantation Genetic Testing (PGT) และมีการแบ่งย่อยตามชนิดของการทดสอบ แนวทางของสมาคมวิชาชีพระดับนานาชาติ เช่น ESHRE กำหนดมาตรฐานด้านคุณภาพอย่างละเอียดสำหรับการตัดชิ้นเนื้อ การวิเคราะห์ และการประกันคุณภาพ
สำคัญคือ PGT ไม่ได้ทดแทนการฝากครรภ์และการตรวจคัดกรองหรือการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดตามปกติ แต่เป็นอีกชั้นหนึ่งของการลดความเสี่ยงต่อโรคพันธุกรรมและการแท้งบางส่วนเท่านั้น จึงยังไม่สามารถรับประกันได้ 100% ว่าทารกจะไม่มีโรคหรือว่าการตั้งครรภ์จะปราศจากภาวะแทรกซ้อนอื่น
คำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับ PID และ PGT
- PID / PGD – คำที่เคยใช้เรียกการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ปัจจุบันมักจัดอยู่ในกรอบ PGT
- PGT-M – การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนเดี่ยว (monogenic) เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือกล้ามเนื้อเสื่อมบางชนิด
- PGT-A – การตรวจจำนวนโครโมโซม (aneuploidy) เช่น ภาวะไตรโซมี 21 หรือ 18 เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมดุล
- PGT-SR – การตรวจความผิดปกติของโครงสร้างโครโมโซม เช่น balanced translocation ในคนใดคนหนึ่งของคู่สมรส
- niPGT-A – การตรวจแบบไม่ตัดชิ้นเนื้อ โดยวิเคราะห์ชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ลอยอยู่ในน้ำเลี้ยงตัวอ่อน แทนการเก็บเซลล์จากตัวอ่อนโดยตรง ยังถือเป็นเทคนิคที่อยู่ระหว่างการศึกษา
เหมาะกับใคร?
ในประเทศไทย PGT มักแนะนำสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นการตรวจทั่วไปสำหรับทุกคู่ที่ทำ IVF ตัวอย่างสถานการณ์ที่มักพิจารณา ได้แก่
- คู่สมรสที่ทราบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดโรคพันธุกรรมรุนแรงตั้งแต่วัยเด็ก เช่น กล้ามเนื้อเสื่อมบางชนิด หรือโรคทางเมตะบอลิซึมที่คุกคามชีวิต
- คู่สมรสที่ตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมเชิงโครงสร้างชัดเจน เช่น balanced translocation ซึ่งเพิ่มโอกาสแท้งหรือทารกผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ
- มีประวัติแท้งบุตรซ้ำหรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์หลายครั้ง โดยสงสัยสาเหตุทางพันธุกรรมหลังจาก排สาเหตุอื่นแล้ว
- กรณีพิเศษที่ต้องใช้การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากพี่น้องเพื่อรักษาโรครุนแรงของบุตรคนหนึ่ง ซึ่งอาจพิจารณา PGT ร่วมกับการตรวจ HLA ภายใต้กรอบจริยธรรมที่เข้มงวด
ข้อบ่งชี้ที่แท้จริงควรประเมินผ่านการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทีมสหสาขาวิชาชีพของศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก และในประเทศไทยคลินิกที่ให้บริการ ART จำเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบและแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการจริยธรรมของแต่ละสถานพยาบาลด้วย
ขั้นตอนการรักษาในทางปฏิบัติ
- การให้คำปรึกษาและประเมินทางพันธุกรรม – แพทย์เวชพันธุศาสตร์หรือสูติ-นรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยากจะทบทวนประวัติครอบครัว ผลตรวจเดิม และอธิบายว่าการทำ PGT มีประโยชน์และข้อจำกัดอย่างไร รวมทั้งกำหนดวิธีตรวจที่เหมาะสม
- การกระตุ้นรังไข่ – หญิงจะได้รับยาฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ประมาณ 8–12 วัน มีการติดตามด้วยอัลตราซาวนด์และการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับขนาดยาให้ได้จำนวนไข่และความปลอดภัยที่เหมาะสม
- การเก็บไข่และปฏิสนธิ – ทำการเก็บไข่ภายใต้ยาระงับความรู้สึกแบบสั้น ผ่านหัวตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด ไข่ที่ได้จะนำมาปฏิสนธิกับตัวอสุจิในห้องปฏิบัติการด้วยวิธี IVF หรือ ICSI จากนั้นเลี้ยงตัวอ่อนต่อในตู้เพาะเลี้ยง
- การเลี้ยงตัวอ่อนและตัดชิ้นเนื้อ – เมื่อถึงวันที่ห้า ตัวอ่อนที่พัฒนาเป็นบลาสโตซิสต์ แพทย์ห้องปฏิบัติการจะตัดชิ้นเนื้อเซลล์จำนวนเล็กน้อยจาก Trophectoderm โดยพยายามไม่กระทบต่อ inner cell mass ส่วน niPGT-A จะเก็บเพียงน้ำเลี้ยงตัวอ่อนมาวิเคราะห์
- การตรวจพันธุกรรม – ห้องปฏิบัติการพันธุศาสตร์ใช้เทคนิคสมัยใหม่ เช่น next-generation sequencing วิเคราะห์ตัวอย่างและจัดทำรายงาน ผลมักใช้เวลาหลายวันถึงสองสัปดาห์ ขึ้นกับชนิดการตรวจและจำนวนตัวอ่อน
- การย้ายตัวอ่อนหรือแช่แข็งเก็บ – ตัวอ่อนที่มีผลตรวจเหมาะสมจะถูกย้ายกลับโพรงมดลูกทีละตัว (single embryo transfer) หรือแช่แข็งในไนโตรเจนเหลวเพื่อนัดย้ายในรอบถัดไป ซึ่งช่วยให้สามารถปรับฮอร์โมนเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสมก่อนย้ายได้
เทคโนโลยีล่าสุดปี 2025
- มาตรฐาน PGT ระดับสากล – แนวทางจาก ESHRE และสมาคมอื่นๆ ช่วยให้คลินิกในไทยวางมาตรฐานการตัดชิ้นเนื้อ การวิเคราะห์ และการควบคุมคุณภาพ ลดความคลาดเคลื่อนระหว่างห้องปฏิบัติการ
- niPGT-A – การวิเคราะห์ดีเอ็นเออิสระในน้ำเลี้ยงตัวอ่อนเป็นเทคนิคที่น่าสนใจเพราะไม่ต้องตัดชิ้นเนื้อ อย่างไรก็ตามการศึกษายังคงพบปัญหาการจำแนกโมเสกและผลบวกลวง จึงมักใช้ในบริบทการวิจัยหรือเสริมข้อมูลมากกว่าจะใช้แทนการตัดชิ้นเนื้อทั้งหมด
- ปัญญาประดิษฐ์และ Time-lapse imaging – ตู้เลี้ยงตัวอ่อนรุ่นใหม่ติดกล้องถ่ายภาพการแบ่งตัวตลอดเวลา ทำให้สามารถให้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยวิเคราะห์รูปแบบการแบ่งตัวร่วมกับข้อมูล PGT เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโอกาสฝังตัวสูง
- Elective Single Embryo Transfer (eSET) – แนวโน้มในศูนย์ชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศคือการย้ายตัวอ่อนทีละหนึ่งตัวเพื่อลดการตั้งครรภ์แฝดและภาวะแทรกซ้อน โดยใช้ข้อมูลจาก PGT และ Time-lapse ประกอบการคัดเลือก
ค่าใช้จ่ายในประเทศไทย 2025
ค่าใช้จ่ายของ PGT ในประเทศไทยมักคิดรวมกับรอบ IVF หรือ ICSI หนึ่งรอบ ราคาแตกต่างกันมากระหว่างโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเฉพาะทาง รวมถึงจำนวนตัวอ่อนที่ตรวจและชนิดของการทดสอบ โดยรวมแล้วคู่รักควรเตรียมงบประมาณโดยประมาณตั้งแต่ 300,000–500,000 บาทต่อรอบเมื่อรวม IVF, PGT, ยา และค่าแช่แข็งตัวอ่อน
| หมวดค่าใช้จ่าย | ช่วงราคาโดยประมาณ 2025 | รวมอะไรบ้าง? |
|---|---|---|
| การประเมินเบื้องต้นและให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม | ประมาณ 10,000–30,000 บาท | ตรวจประวัติครอบครัว ตรวจเลือดพื้นฐาน ปรึกษาแพทย์เวชพันธุศาสตร์และวางแผนการทดสอบ |
| รอบ IVF/ICSI รวมยากระตุ้นไข่ | ประมาณ 100,000–250,000 บาทต่อรอบ | ค่ายากระตุ้น ตรวจเลือด/อัลตราซาวนด์ การเก็บไข่ การปฏิสนธิ และการเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงบลาสโตซิสต์ |
| การตรวจ PGT-M / PGT-A / PGT-SR | ประมาณ 80,000–150,000 บาท | การตัดชิ้นเนื้อตัวอ่อน การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ และรายงานผล ขึ้นกับจำนวนตัวอ่อนและชนิดการทดสอบ |
| การแช่แข็งและเก็บรักษาตัวอ่อน | ประมาณ 20,000–60,000 บาทในปีแรก | ค่าการแช่แข็งตัวอ่อนที่เหมาะสมและค่าฝากเก็บในถังไนโตรเจนเหลว (ปีถัดไปมักคิด 10,000–20,000 บาทต่อปี) |
| บริการเสริม (Time-lapse, เทคนิคคัดสเปิร์มขั้นสูง ฯลฯ) | ประมาณ 20,000–80,000 บาท | เช่น ระบบกล้องในตู้เลี้ยงตัวอ่อน เทคนิคคัดสเปิร์มแบบ IMSI/PICSI หรือแพ็กเกจติดตามผลเพิ่มเติม |
ในทางปฏิบัติ การรักษา IVF และ PGT ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว แม้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและประกันสังคมจะเริ่มถกเถียงเรื่องการสนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากระดับพื้นฐาน แต่สิทธิประโยชน์ยังมีข้อจำกัดมาก ผู้ป่วยจำนวนมากจึงต้องอาศัยการจ่ายเองหรือประกันสุขภาพเอกชนที่มีความคุ้มครองด้านภาวะมีบุตรยากโดยเฉพาะ ดังนั้นควรขอใบเสนอราคาแบบแยกรายการล่วงหน้าและสอบถามบริษัทประกันอย่างละเอียด
โอกาสสำเร็จและความเสี่ยง
อัตราความสำเร็จของ IVF ร่วมกับ PGT ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของฝ่ายหญิง ปริมาณรังไข่สำรอง สาเหตุภาวะมีบุตรยาก และจำนวนตัวอ่อนที่มีผลตรวจปกติ โดยทั่วไปศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยากชั้นนำในไทยรายงานอัตราการตั้งครรภ์ต่อการย้ายตัวอ่อนหนึ่งครั้งที่ประมาณ 30–50% สำหรับผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 35 ปี และลดลงตามอายุ แม้ PGT จะช่วยหลีกเลี่ยงตัวอ่อนที่มีความผิดปกติของโครโมโซมบางส่วนและลดการแท้งจากสาเหตุเหล่านี้ แต่ไม่สามารถลบผลของอายุที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด
| อายุฝ่ายหญิง | โอกาสคลอดบุตรต่อการย้ายตัวอ่อน | ข้อสังเกตเมื่อใช้ร่วมกับ PGT |
|---|---|---|
| < 35 ปี | ประมาณ 30–40% | มักมีตัวอ่อนที่ปกติทางโครโมโซมหลายตัว ทำให้โอกาสตั้งครรภ์สะสมต่อหลายรอบค่อนข้างดี |
| 35–39 ปี | ประมาณ 20–30% | PGT-A ช่วยลดการแท้งจาก aneuploidy และลดจำนวนการย้ายตัวอ่อนที่ไม่จำเป็นได้บ้าง |
| ≥ 40 ปี | < 20% | สัดส่วนตัวอ่อนที่ euploid ลดลงมาก แม้ PGT จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยผลของอายุได้ทั้งหมด |
ความเสี่ยงทางการแพทย์และด้านจิตใจ
- การตัดชิ้นเนื้อและภาวะโมเสก – เมื่อทำโดยทีมที่มีประสบการณ์ การตัดชิ้นเนื้อ Trophectoderm มีความปลอดภัยสูง แต่กรณีตัวอ่อนโมเสกอาจให้ผลตรวจที่แปลความได้ยาก จำเป็นต้องอาศัยการประเมินร่วมกันของแพทย์ห้องปฏิบัติการ แพทย์เวชพันธุศาสตร์ และผู้ป่วย
- ผลข้างเคียงจากการกระตุ้นรังไข่ – แนวทางการกระตุ้นรังไข่ยุคใหม่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกิน (OHSS) แต่ไม่สามารถลดเป็นศูนย์ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งอาการผิดปกติและติดตามอย่างใกล้ชิด
- ข้อจำกัดของ niPGT-A – แม้จะปลอดการตัดชิ้นเนื้อ แต่ยังมีปัญหาความจำเพาะและความไวของการตรวจ ทำให้บางครั้งตัวอ่อนที่อาจพัฒนาได้ดีถูกจัดกลุ่มว่าเสี่ยงสูงหรือกลับกัน
- ภาระทางอารมณ์ – การตัดสินใจเรื่องพันธุกรรม ความคาดหวังและการรอผลตรวจ รวมถึงความเป็นส่วนตัวกับครอบครัวใกล้ชิดล้วนสร้างความเครียดได้มาก การเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา รวมถึงกลุ่มสนับสนุนผู้มีภาวะมีบุตรยากในไทยจึงช่วยได้มาก
เปรียบเทียบกับต่างประเทศ 2025
ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะ IVF และ PGT เพราะค่ารักษาโดยรวมต่ำกว่าประเทศตะวันตกหลายแห่งและมีโรงพยาบาลเอกชนมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม คู่รักชาวไทยบางส่วนก็พิจารณาเดินทางไปรักษาในต่างประเทศ เช่น เพื่อเข้าถึงกฎหมายที่ยืดหยุ่นกว่าหรือโปรแกรมผู้บริจาคไข่/อสุจิที่หลากหลายขึ้น ภาพรวมโดยสังเขปมีดังนี้
เยอรมนี
- การใช้ PGT มีกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด เน้นเฉพาะกรณีโรคพันธุกรรมรุนแรงและมีความเสี่ยงสูงต่อทารกหรือการแท้งซ้ำ
- ค่าใช้จ่ายต่อรอบมักอยู่ในช่วงประมาณ 8,000–12,000 ยูโร เมื่อรวม IVF/ICSI และการตรวจ PGT ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน
- มีระบบทะเบียนและการรายงานผลการรักษาที่เป็นทางการ ช่วยให้ผู้ป่วยดูสถิติและมาตรฐานคุณภาพของแต่ละศูนย์ได้ดี
เดนมาร์ก
- เป็นหนึ่งในประเทศนอร์ดิกที่สนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากอย่างชัดเจน ผู้พำนักในประเทศที่เข้าเงื่อนไขมักได้รับสิทธิ์รักษา IVF จำนวนจำกัดรอบผ่านระบบประกันสุขภาพของรัฐ
- PGT-M และ PGT-SR สามารถทำได้ในกรณีที่เสี่ยงต่อโรครุนแรง ส่วน PGT-A อาจอยู่ในกรอบโครงการวิจัยหรือข้อบ่งชี้เฉพาะ
- หากจ่ายเอง รอบ IVF หนึ่งครั้งในคลินิกเอกชนมักมีค่าใช้จ่ายราว 3,000–4,000 ยูโร ไม่รวมยาและบริการเสริม
สิงคโปร์
- เป็นศูนย์กลาง IVF และ PGT ที่มีเทคโนโลยีสูงมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแพทย์และห้องปฏิบัติการที่เชี่ยวชาญสูง
- ค่าใช้จ่ายต่อรอบสูงกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนระดับท็อป แม้อาจมีเงินอุดหนุนบางส่วนในระบบสาธารณสุขสำหรับพลเมืองสิงคโปร์
- เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักที่ต้องการรักษาขณะพำนักหรือทำงานในสิงคโปร์หรือประเทศใกล้เคียง
ออสเตรเลีย
- มีระบบประกันสุขภาพภาครัฐ (Medicare) ที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย IVF และ PGT บางส่วน แต่ผู้ป่วยยังต้องร่วมจ่ายและค่าใช้จ่ายรวมยังสูงกว่าประเทศไทย
- อัตราความสำเร็จและมาตรฐานห้องปฏิบัติการอยู่ในระดับสูง มีสถิติและการรับรองคุณภาพค่อนข้างโปร่งใส
- เป็นปลายทางสำหรับผู้ที่ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยหรือทำงานในออสเตรเลียอยู่แล้วมากกว่าการเดินทางเฉพาะกิจเพื่อรักษา
สหรัฐอเมริกา
- การใช้ PGT-A แพร่หลายมากและมีข้อจำกัดทางกฎหมายน้อยในหลายรัฐ แต่รายละเอียดแตกต่างกันมากตามกฎหมายของแต่ละรัฐและแนวนโยบายของศูนย์
- ค่าใช้จ่ายมักอยู่ที่ 15,000–30,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือต่อรอบหรือมากกว่า เมื่อรวม IVF และ PGT ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า
- การชำระเงินส่วนใหญ่เป็นแบบเอกชน แม้บางกรมธรรม์จะช่วยจ่ายบ้าง แต่ภาพรวมแล้วผู้ป่วยยังต้องเตรียมงบประมาณสูง
กฎหมายและข้อบังคับในประเทศไทย
การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์และ PGT ในประเทศไทยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบของรัฐ โดยกฎหมายหลักคือพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 รวมถึงระเบียบและแนวปฏิบัติจากกระทรวงสาธารณสุขและแพทยสภา
- เฉพาะสถานพยาบาลและคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) เท่านั้นที่สามารถให้บริการ IVF/ICSI และ PGT ได้ ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรอง
- กฎหมายมุ่งคุ้มครองสิทธิของเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ รวมถึงกำหนดเกณฑ์ด้านการสมรสและสัญชาติในกรณีการอุ้มบุญ ซึ่งปัจจุบันจำกัดให้ทำได้เฉพาะคู่สมรสที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด โดยห้ามการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์
- PGT-M และ PGT-SR ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคพันธุกรรมรุนแรงหรือความผิดปกติของโครโมโซม การตัดสินใจทำหรือไม่ทำต้องผ่านการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมและการเห็นชอบของคู่สมรส
- การใช้ PGT เพื่อเลือกเพศโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ เช่น โรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศ ถือว่าขัดต่อกฎหมายและหลักจริยธรรมในประเทศไทย แม้ว่าเพศของตัวอ่อนจะเป็นข้อมูลหนึ่งที่ทราบจากการตรวจ
- สถานพยาบาลมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย ครบถ้วนเกี่ยวกับโอกาสสำเร็จ ความเสี่ยง และทางเลือกอื่น และต้องได้รับความยินยอมโดยรู้ข้อมูลเพียงพอ (informed consent) จากผู้ป่วยก่อนการรักษา
หากต้องการข้อมูลกฎหมายและการตีความที่เป็นทางการเพิ่มเติม สามารถติดตามเอกสารจากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และประกาศของแพทยสภาซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ทางการเป็นระยะ
เคล็ดลับเชิงปฏิบัติสำหรับคู่รัก
- เริ่มจากข้อมูลที่เป็นกลาง – อ่านข้อมูลจากสมาคมวิชาชีพและหน่วยงานรัฐ ก่อนเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในโซเชียลมีเดียหรือกลุ่มไลน์ที่อาจมีอคติหรือข้อมูลผิดพลาด
- ขอใบเสนอราคาระบุรายละเอียด – ขอให้คลินิกรายงานค่าใช้จ่ายแยกรายการ เช่น IVF, การตรวจ PGT, ยา, ค่าฝากเก็บตัวอ่อน และบริการเสริม เพื่อจะได้เปรียบเทียบระหว่างหลายศูนย์ได้ง่าย
- สอบถามเรื่องสิทธิ์รักษาและประกันสุขภาพ – ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิ์บัตรทองหรือประกันสังคมครอบคลุมอะไรบ้าง และประกันสุขภาพเอกชนมีวงเงินสำหรับภาวะมีบุตรยากหรือไม่ เพื่อลดความประหลาดใจด้านค่าใช้จ่าย
- วางแผนสำหรับมากกว่าหนึ่งรอบ – โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น อาจต้องใช้มากกว่าหนึ่งรอบจึงจะได้ตัวอ่อนที่เหมาะสมและตั้งครรภ์ได้ จึงควรวางแผนด้านเวลา การลา และงบประมาณสำหรับหลายรอบ
- จัดระบบการสนับสนุน – การรักษาภาวะมีบุตรยากและการตัดสินใจเรื่องพันธุกรรมสามารถกดดันความสัมพันธ์ได้ การเข้ารับคำปรึกษาด้านจิตวิทยา การหาเพื่อนร่วมประสบการณ์ และการสื่อสารกันอย่างเปิดใจในคู่เป็นสิ่งสำคัญ
ทางเลือกอื่นและประเด็นจริยธรรม
PGT ไม่ใช่คำตอบที่เหมาะกับทุกคน บางคู่เลือกที่จะตั้งครรภ์โดยไม่ตรวจ PGT แต่ใช้การตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด เช่น การเจาะตรวจชิ้นเนื้อรกหรือเจาะน้ำคร่ำแทน บางคู่พิจารณาการใช้ไข่หรืออสุจิจากผู้บริจาค การรับบุตรบุญธรรมผ่านกระบวนการตามกฎหมายไทย หรือการเปิดใจต่อชีวิตที่ไม่มีลูกในแบบชีววิทยา
ในแง่จริยธรรม คู่รักจำนวนมากรู้สึกอยู่กึ่งกลางระหว่างความต้องการลดความเสี่ยงให้บุตรกับความกังวลเรื่อง “การคัดเลือก” และมาตรฐานของสังคมที่อาจเปลี่ยนไป การได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจากแพทย์ นักจริยธรรม และนักจิตวิทยา ช่วยให้ตัดสินใจได้สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อของตนเองมากที่สุด
สรุป
การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัวเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าซึ่งสามารถช่วยคู่รักที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูงลดโอกาสการถ่ายทอดโรครุนแรงและการแท้งบางส่วน ในประเทศไทยบริการนี้มีให้ในศูนย์เฉพาะทางหลายแห่งและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองทั้งผู้ป่วยและเด็กที่เกิดจากการรักษา อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อน ใช้เวลา และมีค่าใช้จ่ายสูง จึงควรตัดสินใจหลังจากได้รับข้อมูลครบถ้วน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา และพิจารณาความพร้อมทั้งทางการเงินและจิตใจของตนเอง

