การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (PGT) ในประเทศไทย 2025 – ขั้นตอน ค่าใช้จ่าย และกฎหมาย

รูปโปรไฟล์ของผู้เขียน
ซัปเปิลฟิลิป มาร์กซ์
บลาสโตซิสต์ใต้กล้องจุลทรรศน์ระหว่างการตัดชิ้นเนื้อ Trophectoderm ในห้องปฏิบัติการ IVF

การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (Preimplantation Genetic Testing – PGT ซึ่งในอดีตมักเรียก PID หรือ PGD) เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง ช่วยตรวจคัดกรองตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ลดโอกาสถ่ายทอดโรคพันธุกรรมรุนแรงหรือสาเหตุทางพันธุกรรมของการแท้งซ้ำ โดยไม่ต้องรอให้ตั้งครรภ์ก่อน บทความนี้สรุปให้เข้าใจง่ายว่า PGT ในประเทศไทยทำอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง ค่าใช้จ่ายโดยประมาณเท่าไร และกรอบกฎหมายไทยกำหนดอะไรไว้บ้าง

การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนฝังตัวคืออะไร?

ในทางปฏิบัติ PGT คือการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนที่ได้จากการรักษาด้วย IVF หรือ ICSI โดยเมื่อตัวอ่อนเลี้ยงถึงระยะบลาสโตซิสต์ แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อเซลล์เล็กน้อยจากส่วน Trophectoderm ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ ก่อนเลือกตัวอ่อนที่มีผลตรวจเหมาะสมกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ปัจจุบันในระดับสากลใช้คำว่า Preimplantation Genetic Testing (PGT) และมีการแบ่งย่อยตามชนิดของการทดสอบ แนวทางของสมาคมวิชาชีพระดับนานาชาติ เช่น ESHRE กำหนดมาตรฐานด้านคุณภาพอย่างละเอียดสำหรับการตัดชิ้นเนื้อ การวิเคราะห์ และการประกันคุณภาพ

สำคัญคือ PGT ไม่ได้ทดแทนการฝากครรภ์และการตรวจคัดกรองหรือการตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดตามปกติ แต่เป็นอีกชั้นหนึ่งของการลดความเสี่ยงต่อโรคพันธุกรรมและการแท้งบางส่วนเท่านั้น จึงยังไม่สามารถรับประกันได้ 100% ว่าทารกจะไม่มีโรคหรือว่าการตั้งครรภ์จะปราศจากภาวะแทรกซ้อนอื่น

คำศัพท์สำคัญเกี่ยวกับ PID และ PGT

  • PID / PGD – คำที่เคยใช้เรียกการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก ปัจจุบันมักจัดอยู่ในกรอบ PGT
  • PGT-M – การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนเดี่ยว (monogenic) เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส หรือกล้ามเนื้อเสื่อมบางชนิด
  • PGT-A – การตรวจจำนวนโครโมโซม (aneuploidy) เช่น ภาวะไตรโซมี 21 หรือ 18 เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมสมดุล
  • PGT-SR – การตรวจความผิดปกติของโครงสร้างโครโมโซม เช่น balanced translocation ในคนใดคนหนึ่งของคู่สมรส
  • niPGT-A – การตรวจแบบไม่ตัดชิ้นเนื้อ โดยวิเคราะห์ชิ้นส่วนดีเอ็นเอที่ลอยอยู่ในน้ำเลี้ยงตัวอ่อน แทนการเก็บเซลล์จากตัวอ่อนโดยตรง ยังถือเป็นเทคนิคที่อยู่ระหว่างการศึกษา

เหมาะกับใคร?

ในประเทศไทย PGT มักแนะนำสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นการตรวจทั่วไปสำหรับทุกคู่ที่ทำ IVF ตัวอย่างสถานการณ์ที่มักพิจารณา ได้แก่

  • คู่สมรสที่ทราบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีการกลายพันธุ์ของยีนที่ทำให้เกิดโรคพันธุกรรมรุนแรงตั้งแต่วัยเด็ก เช่น กล้ามเนื้อเสื่อมบางชนิด หรือโรคทางเมตะบอลิซึมที่คุกคามชีวิต
  • คู่สมรสที่ตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมเชิงโครงสร้างชัดเจน เช่น balanced translocation ซึ่งเพิ่มโอกาสแท้งหรือทารกผิดปกติอย่างมีนัยสำคัญ
  • มีประวัติแท้งบุตรซ้ำหรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์หลายครั้ง โดยสงสัยสาเหตุทางพันธุกรรมหลังจาก排สาเหตุอื่นแล้ว
  • กรณีพิเศษที่ต้องใช้การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์จากพี่น้องเพื่อรักษาโรครุนแรงของบุตรคนหนึ่ง ซึ่งอาจพิจารณา PGT ร่วมกับการตรวจ HLA ภายใต้กรอบจริยธรรมที่เข้มงวด

ข้อบ่งชี้ที่แท้จริงควรประเมินผ่านการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและทีมสหสาขาวิชาชีพของศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก และในประเทศไทยคลินิกที่ให้บริการ ART จำเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบและแนวปฏิบัติของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการจริยธรรมของแต่ละสถานพยาบาลด้วย

ขั้นตอนการรักษาในทางปฏิบัติ

  1. การให้คำปรึกษาและประเมินทางพันธุกรรม – แพทย์เวชพันธุศาสตร์หรือสูติ-นรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านภาวะมีบุตรยากจะทบทวนประวัติครอบครัว ผลตรวจเดิม และอธิบายว่าการทำ PGT มีประโยชน์และข้อจำกัดอย่างไร รวมทั้งกำหนดวิธีตรวจที่เหมาะสม
  2. การกระตุ้นรังไข่ – หญิงจะได้รับยาฮอร์โมนกระตุ้นรังไข่ประมาณ 8–12 วัน มีการติดตามด้วยอัลตราซาวนด์และการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับขนาดยาให้ได้จำนวนไข่และความปลอดภัยที่เหมาะสม
  3. การเก็บไข่และปฏิสนธิ – ทำการเก็บไข่ภายใต้ยาระงับความรู้สึกแบบสั้น ผ่านหัวตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด ไข่ที่ได้จะนำมาปฏิสนธิกับตัวอสุจิในห้องปฏิบัติการด้วยวิธี IVF หรือ ICSI จากนั้นเลี้ยงตัวอ่อนต่อในตู้เพาะเลี้ยง
  4. การเลี้ยงตัวอ่อนและตัดชิ้นเนื้อ – เมื่อถึงวันที่ห้า ตัวอ่อนที่พัฒนาเป็นบลาสโตซิสต์ แพทย์ห้องปฏิบัติการจะตัดชิ้นเนื้อเซลล์จำนวนเล็กน้อยจาก Trophectoderm โดยพยายามไม่กระทบต่อ inner cell mass ส่วน niPGT-A จะเก็บเพียงน้ำเลี้ยงตัวอ่อนมาวิเคราะห์
  5. การตรวจพันธุกรรม – ห้องปฏิบัติการพันธุศาสตร์ใช้เทคนิคสมัยใหม่ เช่น next-generation sequencing วิเคราะห์ตัวอย่างและจัดทำรายงาน ผลมักใช้เวลาหลายวันถึงสองสัปดาห์ ขึ้นกับชนิดการตรวจและจำนวนตัวอ่อน
  6. การย้ายตัวอ่อนหรือแช่แข็งเก็บ – ตัวอ่อนที่มีผลตรวจเหมาะสมจะถูกย้ายกลับโพรงมดลูกทีละตัว (single embryo transfer) หรือแช่แข็งในไนโตรเจนเหลวเพื่อนัดย้ายในรอบถัดไป ซึ่งช่วยให้สามารถปรับฮอร์โมนเยื่อบุโพรงมดลูกให้เหมาะสมก่อนย้ายได้

ค่าใช้จ่ายในประเทศไทย 2025

ค่าใช้จ่ายของ PGT ในประเทศไทยมักคิดรวมกับรอบ IVF หรือ ICSI หนึ่งรอบ ราคาแตกต่างกันมากระหว่างโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเฉพาะทาง รวมถึงจำนวนตัวอ่อนที่ตรวจและชนิดของการทดสอบ โดยรวมแล้วคู่รักควรเตรียมงบประมาณโดยประมาณตั้งแต่ 300,000–500,000 บาทต่อรอบเมื่อรวม IVF, PGT, ยา และค่าแช่แข็งตัวอ่อน

หมวดค่าใช้จ่ายช่วงราคาโดยประมาณ 2025รวมอะไรบ้าง?
การประเมินเบื้องต้นและให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมประมาณ 10,000–30,000 บาทตรวจประวัติครอบครัว ตรวจเลือดพื้นฐาน ปรึกษาแพทย์เวชพันธุศาสตร์และวางแผนการทดสอบ
รอบ IVF/ICSI รวมยากระตุ้นไข่ประมาณ 100,000–250,000 บาทต่อรอบค่ายากระตุ้น ตรวจเลือด/อัลตราซาวนด์ การเก็บไข่ การปฏิสนธิ และการเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงบลาสโตซิสต์
การตรวจ PGT-M / PGT-A / PGT-SRประมาณ 80,000–150,000 บาทการตัดชิ้นเนื้อตัวอ่อน การวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ และรายงานผล ขึ้นกับจำนวนตัวอ่อนและชนิดการทดสอบ
การแช่แข็งและเก็บรักษาตัวอ่อนประมาณ 20,000–60,000 บาทในปีแรกค่าการแช่แข็งตัวอ่อนที่เหมาะสมและค่าฝากเก็บในถังไนโตรเจนเหลว (ปีถัดไปมักคิด 10,000–20,000 บาทต่อปี)
บริการเสริม (Time-lapse, เทคนิคคัดสเปิร์มขั้นสูง ฯลฯ)ประมาณ 20,000–80,000 บาทเช่น ระบบกล้องในตู้เลี้ยงตัวอ่อน เทคนิคคัดสเปิร์มแบบ IMSI/PICSI หรือแพ็กเกจติดตามผลเพิ่มเติม

ในทางปฏิบัติ การรักษา IVF และ PGT ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว แม้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและประกันสังคมจะเริ่มถกเถียงเรื่องการสนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากระดับพื้นฐาน แต่สิทธิประโยชน์ยังมีข้อจำกัดมาก ผู้ป่วยจำนวนมากจึงต้องอาศัยการจ่ายเองหรือประกันสุขภาพเอกชนที่มีความคุ้มครองด้านภาวะมีบุตรยากโดยเฉพาะ ดังนั้นควรขอใบเสนอราคาแบบแยกรายการล่วงหน้าและสอบถามบริษัทประกันอย่างละเอียด

โอกาสสำเร็จและความเสี่ยง

อัตราความสำเร็จของ IVF ร่วมกับ PGT ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของฝ่ายหญิง ปริมาณรังไข่สำรอง สาเหตุภาวะมีบุตรยาก และจำนวนตัวอ่อนที่มีผลตรวจปกติ โดยทั่วไปศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยากชั้นนำในไทยรายงานอัตราการตั้งครรภ์ต่อการย้ายตัวอ่อนหนึ่งครั้งที่ประมาณ 30–50% สำหรับผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 35 ปี และลดลงตามอายุ แม้ PGT จะช่วยหลีกเลี่ยงตัวอ่อนที่มีความผิดปกติของโครโมโซมบางส่วนและลดการแท้งจากสาเหตุเหล่านี้ แต่ไม่สามารถลบผลของอายุที่สูงขึ้นได้ทั้งหมด

อายุฝ่ายหญิงโอกาสคลอดบุตรต่อการย้ายตัวอ่อนข้อสังเกตเมื่อใช้ร่วมกับ PGT
< 35 ปีประมาณ 30–40%มักมีตัวอ่อนที่ปกติทางโครโมโซมหลายตัว ทำให้โอกาสตั้งครรภ์สะสมต่อหลายรอบค่อนข้างดี
35–39 ปีประมาณ 20–30%PGT-A ช่วยลดการแท้งจาก aneuploidy และลดจำนวนการย้ายตัวอ่อนที่ไม่จำเป็นได้บ้าง
≥ 40 ปี< 20%สัดส่วนตัวอ่อนที่ euploid ลดลงมาก แม้ PGT จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยผลของอายุได้ทั้งหมด

ความเสี่ยงทางการแพทย์และด้านจิตใจ

  • การตัดชิ้นเนื้อและภาวะโมเสก – เมื่อทำโดยทีมที่มีประสบการณ์ การตัดชิ้นเนื้อ Trophectoderm มีความปลอดภัยสูง แต่กรณีตัวอ่อนโมเสกอาจให้ผลตรวจที่แปลความได้ยาก จำเป็นต้องอาศัยการประเมินร่วมกันของแพทย์ห้องปฏิบัติการ แพทย์เวชพันธุศาสตร์ และผู้ป่วย
  • ผลข้างเคียงจากการกระตุ้นรังไข่ – แนวทางการกระตุ้นรังไข่ยุคใหม่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกิน (OHSS) แต่ไม่สามารถลดเป็นศูนย์ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งอาการผิดปกติและติดตามอย่างใกล้ชิด
  • ข้อจำกัดของ niPGT-A – แม้จะปลอดการตัดชิ้นเนื้อ แต่ยังมีปัญหาความจำเพาะและความไวของการตรวจ ทำให้บางครั้งตัวอ่อนที่อาจพัฒนาได้ดีถูกจัดกลุ่มว่าเสี่ยงสูงหรือกลับกัน
  • ภาระทางอารมณ์ – การตัดสินใจเรื่องพันธุกรรม ความคาดหวังและการรอผลตรวจ รวมถึงความเป็นส่วนตัวกับครอบครัวใกล้ชิดล้วนสร้างความเครียดได้มาก การเข้าพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา รวมถึงกลุ่มสนับสนุนผู้มีภาวะมีบุตรยากในไทยจึงช่วยได้มาก

เปรียบเทียบกับต่างประเทศ 2025

ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะ IVF และ PGT เพราะค่ารักษาโดยรวมต่ำกว่าประเทศตะวันตกหลายแห่งและมีโรงพยาบาลเอกชนมาตรฐานสากล อย่างไรก็ตาม คู่รักชาวไทยบางส่วนก็พิจารณาเดินทางไปรักษาในต่างประเทศ เช่น เพื่อเข้าถึงกฎหมายที่ยืดหยุ่นกว่าหรือโปรแกรมผู้บริจาคไข่/อสุจิที่หลากหลายขึ้น ภาพรวมโดยสังเขปมีดังนี้

เยอรมนี

  • การใช้ PGT มีกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด เน้นเฉพาะกรณีโรคพันธุกรรมรุนแรงและมีความเสี่ยงสูงต่อทารกหรือการแท้งซ้ำ
  • ค่าใช้จ่ายต่อรอบมักอยู่ในช่วงประมาณ 8,000–12,000 ยูโร เมื่อรวม IVF/ICSI และการตรวจ PGT ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน
  • มีระบบทะเบียนและการรายงานผลการรักษาที่เป็นทางการ ช่วยให้ผู้ป่วยดูสถิติและมาตรฐานคุณภาพของแต่ละศูนย์ได้ดี

เดนมาร์ก

  • เป็นหนึ่งในประเทศนอร์ดิกที่สนับสนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากอย่างชัดเจน ผู้พำนักในประเทศที่เข้าเงื่อนไขมักได้รับสิทธิ์รักษา IVF จำนวนจำกัดรอบผ่านระบบประกันสุขภาพของรัฐ
  • PGT-M และ PGT-SR สามารถทำได้ในกรณีที่เสี่ยงต่อโรครุนแรง ส่วน PGT-A อาจอยู่ในกรอบโครงการวิจัยหรือข้อบ่งชี้เฉพาะ
  • หากจ่ายเอง รอบ IVF หนึ่งครั้งในคลินิกเอกชนมักมีค่าใช้จ่ายราว 3,000–4,000 ยูโร ไม่รวมยาและบริการเสริม

สิงคโปร์

  • เป็นศูนย์กลาง IVF และ PGT ที่มีเทคโนโลยีสูงมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแพทย์และห้องปฏิบัติการที่เชี่ยวชาญสูง
  • ค่าใช้จ่ายต่อรอบสูงกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนระดับท็อป แม้อาจมีเงินอุดหนุนบางส่วนในระบบสาธารณสุขสำหรับพลเมืองสิงคโปร์
  • เป็นทางเลือกสำหรับคู่รักที่ต้องการรักษาขณะพำนักหรือทำงานในสิงคโปร์หรือประเทศใกล้เคียง

ออสเตรเลีย

  • มีระบบประกันสุขภาพภาครัฐ (Medicare) ที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย IVF และ PGT บางส่วน แต่ผู้ป่วยยังต้องร่วมจ่ายและค่าใช้จ่ายรวมยังสูงกว่าประเทศไทย
  • อัตราความสำเร็จและมาตรฐานห้องปฏิบัติการอยู่ในระดับสูง มีสถิติและการรับรองคุณภาพค่อนข้างโปร่งใส
  • เป็นปลายทางสำหรับผู้ที่ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยหรือทำงานในออสเตรเลียอยู่แล้วมากกว่าการเดินทางเฉพาะกิจเพื่อรักษา

สหรัฐอเมริกา

  • การใช้ PGT-A แพร่หลายมากและมีข้อจำกัดทางกฎหมายน้อยในหลายรัฐ แต่รายละเอียดแตกต่างกันมากตามกฎหมายของแต่ละรัฐและแนวนโยบายของศูนย์
  • ค่าใช้จ่ายมักอยู่ที่ 15,000–30,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือต่อรอบหรือมากกว่า เมื่อรวม IVF และ PGT ซึ่งสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า
  • การชำระเงินส่วนใหญ่เป็นแบบเอกชน แม้บางกรมธรรม์จะช่วยจ่ายบ้าง แต่ภาพรวมแล้วผู้ป่วยยังต้องเตรียมงบประมาณสูง

กฎหมายและข้อบังคับในประเทศไทย

การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์และ PGT ในประเทศไทยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและระเบียบของรัฐ โดยกฎหมายหลักคือพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 รวมถึงระเบียบและแนวปฏิบัติจากกระทรวงสาธารณสุขและแพทยสภา

  • เฉพาะสถานพยาบาลและคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) เท่านั้นที่สามารถให้บริการ IVF/ICSI และ PGT ได้ ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรอง
  • กฎหมายมุ่งคุ้มครองสิทธิของเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ รวมถึงกำหนดเกณฑ์ด้านการสมรสและสัญชาติในกรณีการอุ้มบุญ ซึ่งปัจจุบันจำกัดให้ทำได้เฉพาะคู่สมรสที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด โดยห้ามการอุ้มบุญเชิงพาณิชย์
  • PGT-M และ PGT-SR ใช้ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคพันธุกรรมรุนแรงหรือความผิดปกติของโครโมโซม การตัดสินใจทำหรือไม่ทำต้องผ่านการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมและการเห็นชอบของคู่สมรส
  • การใช้ PGT เพื่อเลือกเพศโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ เช่น โรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศ ถือว่าขัดต่อกฎหมายและหลักจริยธรรมในประเทศไทย แม้ว่าเพศของตัวอ่อนจะเป็นข้อมูลหนึ่งที่ทราบจากการตรวจ
  • สถานพยาบาลมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่เข้าใจง่าย ครบถ้วนเกี่ยวกับโอกาสสำเร็จ ความเสี่ยง และทางเลือกอื่น และต้องได้รับความยินยอมโดยรู้ข้อมูลเพียงพอ (informed consent) จากผู้ป่วยก่อนการรักษา

หากต้องการข้อมูลกฎหมายและการตีความที่เป็นทางการเพิ่มเติม สามารถติดตามเอกสารจากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และประกาศของแพทยสภาซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ทางการเป็นระยะ

เคล็ดลับเชิงปฏิบัติสำหรับคู่รัก

  1. เริ่มจากข้อมูลที่เป็นกลาง – อ่านข้อมูลจากสมาคมวิชาชีพและหน่วยงานรัฐ ก่อนเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในโซเชียลมีเดียหรือกลุ่มไลน์ที่อาจมีอคติหรือข้อมูลผิดพลาด
  2. ขอใบเสนอราคาระบุรายละเอียด – ขอให้คลินิกรายงานค่าใช้จ่ายแยกรายการ เช่น IVF, การตรวจ PGT, ยา, ค่าฝากเก็บตัวอ่อน และบริการเสริม เพื่อจะได้เปรียบเทียบระหว่างหลายศูนย์ได้ง่าย
  3. สอบถามเรื่องสิทธิ์รักษาและประกันสุขภาพ – ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิ์บัตรทองหรือประกันสังคมครอบคลุมอะไรบ้าง และประกันสุขภาพเอกชนมีวงเงินสำหรับภาวะมีบุตรยากหรือไม่ เพื่อลดความประหลาดใจด้านค่าใช้จ่าย
  4. วางแผนสำหรับมากกว่าหนึ่งรอบ – โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น อาจต้องใช้มากกว่าหนึ่งรอบจึงจะได้ตัวอ่อนที่เหมาะสมและตั้งครรภ์ได้ จึงควรวางแผนด้านเวลา การลา และงบประมาณสำหรับหลายรอบ
  5. จัดระบบการสนับสนุน – การรักษาภาวะมีบุตรยากและการตัดสินใจเรื่องพันธุกรรมสามารถกดดันความสัมพันธ์ได้ การเข้ารับคำปรึกษาด้านจิตวิทยา การหาเพื่อนร่วมประสบการณ์ และการสื่อสารกันอย่างเปิดใจในคู่เป็นสิ่งสำคัญ

ทางเลือกอื่นและประเด็นจริยธรรม

PGT ไม่ใช่คำตอบที่เหมาะกับทุกคน บางคู่เลือกที่จะตั้งครรภ์โดยไม่ตรวจ PGT แต่ใช้การตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด เช่น การเจาะตรวจชิ้นเนื้อรกหรือเจาะน้ำคร่ำแทน บางคู่พิจารณาการใช้ไข่หรืออสุจิจากผู้บริจาค การรับบุตรบุญธรรมผ่านกระบวนการตามกฎหมายไทย หรือการเปิดใจต่อชีวิตที่ไม่มีลูกในแบบชีววิทยา

ในแง่จริยธรรม คู่รักจำนวนมากรู้สึกอยู่กึ่งกลางระหว่างความต้องการลดความเสี่ยงให้บุตรกับความกังวลเรื่อง “การคัดเลือก” และมาตรฐานของสังคมที่อาจเปลี่ยนไป การได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจากแพทย์ นักจริยธรรม และนักจิตวิทยา ช่วยให้ตัดสินใจได้สอดคล้องกับค่านิยมและความเชื่อของตนเองมากที่สุด

สรุป

การตรวจพันธุกรรมตัวอ่อนก่อนการฝังตัวเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าซึ่งสามารถช่วยคู่รักที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูงลดโอกาสการถ่ายทอดโรครุนแรงและการแท้งบางส่วน ในประเทศไทยบริการนี้มีให้ในศูนย์เฉพาะทางหลายแห่งและอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองทั้งผู้ป่วยและเด็กที่เกิดจากการรักษา อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้มีความซับซ้อน ใช้เวลา และมีค่าใช้จ่ายสูง จึงควรตัดสินใจหลังจากได้รับข้อมูลครบถ้วน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา และพิจารณาความพร้อมทั้งทางการเงินและจิตใจของตนเอง

ข้อจำกัดความรับผิด: เนื้อหาใน RattleStork มีไว้เพื่อข้อมูลและการศึกษาโดยทั่วไปเท่านั้น ไม่ถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ กฎหมาย หรือวิชาชีพ และไม่รับประกันผลลัพธ์ใด ๆ การใช้ข้อมูลนี้เป็นความเสี่ยงของผู้ใช้เอง ดู ข้อจำกัดความรับผิดฉบับเต็ม.

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

กล่าวอย่างสั้นๆ คือในรอบ IVF หรือ ICSI แพทย์จะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการจนถึงระยะบลาสโตซิสต์แล้วเก็บเซลล์จำนวนน้อยไปตรวจพันธุกรรม ก่อนเลือกตัวอ่อนที่มีผลตรวจเหมาะสมกลับเข้าสู่โพรงมดลูก วิธีนี้ช่วยลดโอกาสส่งต่อโรคพันธุกรรมรุนแรงหรือลดการแท้งที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในบางกรณี

PGT-A ใช้ตรวจจำนวนโครโมโซมเพื่อค้นหา aneuploidy ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งหรือความผิดปกติแต่กำเนิด PGT-M มุ่งตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนเดี่ยวที่ทราบมาก่อนในครอบครัว เช่น โรคซิสติกไฟโบรซิส ส่วน PGT-SR ใช้ในคู่ที่มีความผิดปกติของโครงสร้างโครโมโซม เช่น balanced translocation ซึ่งอาจทำให้แท้งซ้ำหรือทารกไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

กลุ่มที่มักพิจารณา PGT ได้แก่ คู่สมรสที่ทราบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีโรคพันธุกรรมรุนแรงที่ถ่ายทอดได้ชัดเจน คู่ที่ตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมเชิงโครงสร้าง เช่น balanced translocation หรือคู่ที่มีประวัติแท้งซ้ำหรือการเสียชีวิตของทารกจากสาเหตุทางพันธุกรรม เมื่อผ่านการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรมและแพทย์ไทยเห็นว่าความเสี่ยงสูงพอ การทำ PGT ในศูนย์ที่ได้รับอนุญาตจึงเป็นทางเลือกหนึ่ง

โดยทั่วไปตั้งแต่เริ่มยากระตุ้นรังไข่จนถึงการย้ายตัวอ่อนครั้งแรกใช้เวลาประมาณ 4–6 สัปดาห์ แต่ถ้านับรวมช่วงเตรียมตัว เช่น การตรวจพื้นฐาน การให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม และการเตรียมแผนตรวจในห้องปฏิบัติการ อาจต้องเผื่อเวลาเพิ่มอีกหลายสัปดาห์ ขึ้นกับว่าศูนย์ใช้ห้องปฏิบัติการภายในประเทศหรือส่งตรวจต่างประเทศ

อัตราความสำเร็จแตกต่างกันมากตามอายุของฝ่ายหญิง คุณภาพของตัวอสุจิ สาเหตุภาวะมีบุตรยาก และคุณภาพตัวอ่อน แต่ในหลายศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยากในไทย อัตราการตั้งครรภ์ต่อการย้ายตัวอ่อนหนึ่งครั้งมักอยู่ราว 20–30% ในกลุ่มอายุ 35–39 ปี และอาจสูงถึง 30–40% หรือต่อรอบในกลุ่มอายุน้อยกว่า 35 ปี ขณะที่อายุมากกว่า 40 ปีมักมีอัตราความสำเร็จลดลงอย่างชัดเจนและอาจต้องใช้หลายรอบจึงจะได้ผลตามต้องการ

การตัดชิ้นเนื้อในปัจจุบันทำที่ระยะบลาสโตซิสต์โดยเก็บเซลล์จาก Trophectoderm ซึ่งจะกลายเป็นรกในอนาคต ไม่ได้แตะต้อง inner cell mass โดยตรง งานวิจัยขนาดใหญ่ยังไม่พบการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนของความพิการแต่กำเนิดเมื่อทำโดยทีมที่มีประสบการณ์สูง แต่ในทางทฤษฎีการตัดชิ้นเนื้ออาจมีผลต่อโอกาสฝังตัวเล็กน้อย จึงควรเลือกศูนย์ที่มีประสบการณ์และเปิดเผยผลการรักษาของตัวเอง

ตัวอ่อนแบบโมเสกคือกรณีที่ภายในตัวอ่อนเดียวกันมีทั้งเซลล์ที่โครโมโซมปกติและเซลล์ที่ผิดปกติปนกันอยู่ เมื่อตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เราเห็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ จึงอาจประเมินยากว่าตัวอ่อนดังกล่าวจะพัฒนาเป็นทารกที่สุขภาพดีได้หรือไม่ ทำให้ผลตรวจบางครั้งอยู่ใน “พื้นที่สีเทา” ที่ต้องอาศัยการประเมินร่วมกันระหว่างแพทย์ นักพันธุศาสตร์ และผู้ป่วยในการตัดสินใจว่าจะย้ายตัวอ่อนหรือไม่

ปัจจุบัน niPGT-A ซึ่งใช้ดีเอ็นเออิสระในน้ำเลี้ยงตัวอ่อนแทนการตัดชิ้นเนื้อยังถือเป็นเทคนิคที่อยู่ระหว่างการศึกษา แม้ผลเบื้องต้นจะดูมีแนวโน้มดีในบางด้าน แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องความแม่นยำและการจำแนกตัวอ่อนโมเสก ดังนั้นศูนย์ส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นตัวเสริมข้อมูลหรือส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย มากกว่าการทดแทนการตัดชิ้นเนื้อแบบมาตรฐานโดยสมบูรณ์

ถ้ารวมค่า IVF หรือ ICSI ค่ายากระตุ้นรังไข่ ค่าตรวจ PGT ค่าฝากเก็บตัวอ่อนและบริการเสริมอื่นๆ ส่วนใหญ่คู่รักในประเทศไทยควรคาดการณ์งบประมาณต่อรอบอยู่ที่ประมาณ 300,000–500,000 บาท ทั้งนี้ตัวเลขจริงขึ้นกับอายุ ผลตรวจพื้นฐาน จำนวนตัวอ่อนที่ตรวจ และระดับโรงพยาบาลที่เลือกใช้บริการอย่างมาก

ในปัจจุบันสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและประกันสังคมในไทยครอบคลุมการรักษาพื้นฐานด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ แต่โดยทั่วไปยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเต็มรูปแบบของ IVF และ PGT ส่วนประกันสุขภาพเอกชนบางแผนอาจมีวงเงินสำหรับการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เฉพาะทาง ดังนั้นควรตรวจสอบเงื่อนไขกรมธรรม์โดยละเอียดและสอบถามบริษัทประกันก่อนเริ่มการรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเกินคาด

การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์รวมถึง PGT ในประเทศไทยถูกกำกับโดยพระราชบัญญัติและระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์ที่ให้บริการต้องได้รับใบอนุญาตอย่างชัดเจน การตัดสินใจว่ารายใดเหมาะสมกับ PGT หรือไม่จึงอยู่ในความรับผิดชอบของทีมแพทย์และคณะกรรมการจริยธรรมของสถานพยาบาลตามกรอบกฎหมายและจริยธรรม ไม่ใช่การอนุมัติรายกรณีโดยคณะกรรมการระดับชาติแบบเดียวกับบางประเทศในยุโรป

ทางเลือกอื่นอาจรวมถึงการตั้งครรภ์ตามปกติพร้อมการตรวจคัดกรองและตรวจวินิจฉัยก่อนคลอด การใช้ไข่หรืออสุจิจากผู้บริจาค การรับบุตรบุญธรรมผ่านกระบวนการของหน่วยงานรัฐ หรือการยอมรับความเสี่ยงโดยไม่ทำการตรวจเพิ่มเติม แต่ละทางเลือกมีผลทางการแพทย์ กฎหมาย และจิตใจแตกต่างกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ นักพันธุศาสตร์ และนักจิตวิทยาก่อนตัดสินใจ

ปัจจัยที่ควรพิจารณา ได้แก่ การมีใบอนุญาตทำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์อย่างถูกต้อง ทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเวชพันธุศาสตร์และภาวะมีบุตรยาก การเปิดเผยสถิติความสำเร็จอย่างโปร่งใส ค่ารักษาที่อธิบายอย่างชัดเจนและแยกรายการบริการ การมีการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาหรือกลุ่มสนับสนุน และที่สำคัญคือความรู้สึกว่าคุณได้รับฟังและสามารถตั้งคำถามได้โดยไม่ถูกกดดันให้ตัดสินใจเร็วเกินไป