การฉีดเชื้อที่บ้าน : ตั้งครรภ์ได้โดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์

โปรไฟล์ของผู้เขียน
เขียนโดย Philomena Marx14 พฤษภาคม 2568
ผู้บริจาคสเปิร์มถือถ้วยเก็บเชื้อปลอดเชื้อ

การฉีดเชื้อที่บ้านเป็นทางเลือกที่เป็นส่วนตัว สะดวก และประหยัด สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตรโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ หรือเข้ารับกระบวนการทางการแพทย์ที่ซับซ้อน บทความนี้ครอบคลุมทุกประเด็น — ตั้งแต่นิยาม อุปกรณ์ที่จำเป็น วิธีทำทีละขั้น พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ การเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ประเด็นกฎหมาย หลักเกณฑ์ว่าเมื่อใดควรพบแพทย์ ไปจนถึงประสบการณ์ตรง

การฉีดเชื้อที่บ้านคืออะไร ?

ขั้นตอนคือการเก็บอสุจิสดในถ้วยปลอดเชื้อ แล้วใช้ไซริงจ์แบบไม่มีเข็มฉีดเข้าไปในช่องคลอดโดยเล็งไปที่ปากมดลูก ต่างจากการฉีดเชื้อในโพรงมดลูก (IUI) เพราะทำได้เองที่บ้าน งานวิจัย Intrauterine insemination : prognostic factors (PMC 2020) และ Pregnancy rates after slow-release insemination vs. IUI (Sci. Rep. 2020) พบว่า หากรักษาความสะอาดและจับเวลาตรงช่วงไข่ตก อัตราสำเร็จอาจใกล้เคียงการทำในคลินิก

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือออนไลน์ อย่างน้อยควรมี

  • ถ้วยเก็บเชื้อปลอดเชื้อ
  • ไซริงจ์แบบไม่มีเข็ม
  • น้ำหล่อลื่นที่เป็นมิตรกับอสุจิ (ปราศจากสารฆ่าอสุจิ)
  • ชุดทดสอบวันไข่ตก
ไซริงจ์และถ้วยเก็บเชื้อปลอดเชื้อ
ภาพ : ไซริงจ์และถ้วยเก็บเชื้อ

ขั้นตอนทีละขั้น

  1. เก็บอสุจิในถ้วยปลอดเชื้อโดยล้างมือและพื้นที่ให้สะอาด
  2. ดูดอสุจิเข้าไซริงจ์อย่างช้า ๆ ระวังไม่ให้เกิดฟองอากาศ
  3. นอนหงาย ยกสะโพกเล็กน้อยด้วยหมอน เพื่อช่วยให้อสุจิเคลื่อนเข้าสู่มดลูก
  4. ค่อย ๆ สอดปลายไซริงจ์เข้าในช่องคลอด เล็งไปที่ปากมดลูก
  5. กดกระบอกไซริงจ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อปล่อยอสุจิ
  6. หากมีจุดสุดยอดระหว่างหรือหลังขั้นตอน กล้ามเนื้อมดลูกจะบีบตัวช่วยดึงอสุจิขึ้นไป
  7. นอนนิ่งท่าเดิม 20–30 นาทีเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์

พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และอัตราความสำเร็จ

  • อัตราความสำเร็จ : ราว 8–15 % ต่อรอบ เมื่อใช้อสุจิสดและจับเวลาแม่นยำ
  • การจับเวลา : ใช้ชุดทดสอบไข่ตกหรืออุปกรณ์ติดตามภาวะเจริญพันธุ์ช่วยเพิ่มโอกาส
  • ความสะอาด : อุปกรณ์ปลอดเชื้อช่วยป้องกันการติดเชื้อและรักษาคุณภาพอสุจิ

อ่านเพิ่มเติมได้จากวารสาร Human Reproduction และ Fertility and Sterility

ข้อจำกัดของธนาคารเชื้อ : การแช่แข็งและการแปรรูป

ความเสี่ยงจากการแช่แข็ง : เก็บที่ -196 °C อาจทำลายเยื่อหุ้มเซลล์และดีเอ็นเอ ทำให้การเคลื่อนที่ของอสุจิลดลง

การแปรรูปทางเคมี : สารเคมีที่ใช้กรองสิ่งเจือปนอาจลดความทนทานของอสุจิ

เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย

  • ฉีดเชื้อที่บ้าน : 600 – 1 500 บาท (อุปกรณ์พื้นฐาน)
  • ธนาคารเชื้อ : 15 000 – 45 000 บาทต่อหลอด (รวมค่าเก็บและจัดส่ง)
  • IUI ในคลินิก : 9 000 – 30 000 บาทต่อรอบ
  • IVF ในคลินิก : 360 000 – 450 000 บาทต่อรอบ (ไม่รับประกันผล)

ประเด็นทางกฎหมาย

  • สถานะทางกฎหมาย : การฉีดเชื้อที่บ้านไม่ต้องขอใบอนุญาตเฉพาะ แต่หากใช้ผู้บริจาคส่วนตัวควรทำสัญญาอย่างชัดเจน
  • สิทธิของบิดามารดา : สัญญาผู้บริจาคช่วยป้องกันข้อพิพาทเรื่องสิทธิเลี้ยงดูในอนาคต
  • ข้อตกลงทางกฎหมาย : ระบุสิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนกระบวนการ
  • ค่าเลี้ยงดูและมรดก : ควรจัดการล่วงหน้าเพื่อลดปัญหาในภายหลัง

เมื่อใดควรไปพบแพทย์?

ตามข้อมูลของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ข้อแนะนำเหล่านี้เป็นแนวทางทั่วไป:

  • อายุต่ำกว่า 35 ปี: หากพยายามมา 12 เดือนแล้วยังไม่สำเร็จ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์
  • อายุ 35 ปีขึ้นไป: ควรปรึกษาแพทย์หลังพยายาม 6 เดือน เนื่องจากภาวะเจริญพันธุ์จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • ตรวจทันที: หากมี รอบเดือนไม่สม่ำเสมอ, ไม่มีการตกไข่ หรือมีปัญหาสุขภาพที่ทราบอยู่แล้ว เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, PCOS หรือปัญหาต่อมไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆ

ประสบการณ์: ใครที่ได้ผล?

“ฉันตั้งครรภ์หลังจากลองวิธีถ้วย 3 ครั้ง กุญแจสำคัญคือต้องจับเวลาให้แม่นยำ ฉันตรวจฮอร์โมน LH ด้วยชุดตรวจตกไข่แบบดิจิทัล และฉีดน้ำเชื้อสองครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ฉันประหลาดใจมากว่ามันง่ายและได้ผลแค่ไหน – โดยไม่ต้องพึ่งการแพทย์เลย”
– ผู้ใช้งานจากฟอรัม RattleStork

สรุป

การฉีดเชื้อที่บ้านเป็นทางเลือกที่ประหยัด เป็นส่วนตัว และเป็นธรรมชาติ หากใช้อุปกรณ์ปลอดเชื้อ จับเวลาอย่างแม่นยำ และมีข้อตกลงทางกฎหมายที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้น หากพยายามมาหลายรอบแล้วยังไม่สำเร็จ ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่อง IUI หรือ IVF

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)