ข้อมูลกฎหมายเกี่ยวกับการบริจาคอสุจิในประเทศไทย 2025: ข้อกฎหมายและประเด็นทางกฎหมาย

โปรไฟล์ของผู้เขียน
เขียนโดย ฟิโลมีนา มาร์กซ์30 พฤษภาคม 2568
ข้อมูลกฎหมายการบริจาคอสุจิในประเทศไทย

การบริจาคอสุจิในประเทศไทยเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายเพื่อการสร้างครอบครัว ทั้งในกลุ่มคู่สมรสและบุคคลโสด ภายใต้มาตรฐานทางการแพทย์และจริยธรรมที่กำหนดโดยแพทยสภา บทความนี้จะนำเสนอกรอบกฎหมายและข้อบังคับในปี 2025 อธิบายมาตรฐานการคัดกรอง ขั้นตอนทางคลินิก และให้ภาพรวมเรื่องภาระค่าเลี้ยงดู สิทธิทางภาษี มรดก รวมถึงทางเลือกส่วนตัวอย่าง RattleStork

กรอบกฎหมาย: ใครทำอะไรได้บ้างในการบริจาคอสุจิ?

  • ประกาศแพทยสภา เรื่องมาตรฐานการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2540 และ 2544: กำหนดให้คลินิกที่ให้บริการ IVF, IUI และการบริจาคอสุจิต้องได้รับใบอนุญาต และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การตรวจคัดกรองผู้บริจาคโดยเคร่งครัด
  • พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2558: คุ้มครองสิทธิของเด็กและกำหนดขั้นตอนการรับรองสิทธิของคู่สมรสที่เป็นผู้ตั้งครรภ์ ผู้บริจาคอสุจิจะไม่มีสถานะเป็นบิดา
  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546–1547: กำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาตามการเกิดและการจดทะเบียนของคู่สมรส โดยกฎหมายไทยรับรองผู้เป็นมารดาโดยธรรมชาติเป็นแม่ และรับรองบิดาหลังการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น
  • การห้ามค้ากำไร: อนุญาตให้บริจาคอสุจิได้ในลักษณะไม่หวังผลกำไรเท่านั้น ห้ามรับค่าตอบแทนจากการบริจาคอสุจิหรือไข่

กลุ่มเป้าหมาย: ใครสามารถใช้บริการบริจาคอสุจิได้บ้าง?

  • คู่สมรสที่จดทะเบียนแล้ว: ต้องแสดงใบทะเบียนสมรส (รวมถึงคู่สมรสเพศเดียวกัน ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมการสมรสที่มีผลตั้งแต่ ม.ค. 2568)
  • บุคคลโสด: กฎหมายหลักกำหนดให้ต้องมีใบทะเบียนสมรส แต่บางคลินิกอาจให้บริการผู้หญิงโสดได้ โดยไม่มีเงื่อนไขการเป็นคู่สมรส

ความปลอดภัยทางการแพทย์

คลินิกต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการคัดกรองผู้บริจาคตามประกาศแพทยสภา ซึ่งครอบคลุมการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV, ไวรัสตับอักเสบบี/ซี, ซิฟิลิส และตรวจคัดกรองภาวะทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย รวมถึงการประเมินสุขภาพทางจิตก่อนบริจาค และกักเก็บตัวอย่างอย่างน้อย 6 เดือนก่อนนำมาใช้

ขั้นตอนการบริจาคอสุจิในคลินิก

  1. การปรึกษา: ให้คำแนะนำทางการแพทย์และจิตวิทยา
  2. การคัดเลือกผู้บริจาค: จากธนาคารอสุจิหรือโปรไฟล์บนแพลตฟอร์ม
  3. การตรวจร่างกายและคัดกรอง: ตามมาตรฐานแพทยสภา
  4. การเตรียมตัวผู้รับบริการ: ติดตามรอบเดือนและตรวจภาวะฮอร์โมน
  5. การทำ IUI หรือ IVF: ฉีดหรือย้ายตัวอ่อนเข้าสู่มดลูก
  6. การติดตามผล: ทดสอบการตั้งครรภ์และดูแลหลังการรักษา

สิทธิของเด็ก: เด็กได้รับอะไรบ้าง?

ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ พ.ศ. 2558 เด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จะได้รับสถานะบุตรของคู่สมรสที่ตั้งครรภ์ และมีสิทธิ์ในการรับมรดก-ภาระค่าเลี้ยงดู ส่วนผู้บริจาคอสุจิจะไม่มีสถานะเป็นบิดาและไม่มีภาระผูกพันทางกฎหมาย

Co-Parenting และรูปแบบผู้ปกครองหลายคน

กฎหมายไทยรับรองการเป็นผู้ปกครองได้เพียงสองคนเท่านั้น ได้แก่ มารดาและบิดา หากต้องการโมเดลผู้ปกครองมากกว่า 2 คน ต้องทำข้อตกลงส่วนตัว (Co-Parenting Contract) ซึ่งไม่มีผลทางกฎหมายเป็นผู้ปกครองร่วม

ภาระค่าเลี้ยงดู, สิทธิทางภาษี และมรดก

ภาระค่าเลี้ยงดู

ผู้บริจาคอสุจิไม่มีภาระค่าเลี้ยงดูตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับสถานะเป็นบิดา

สิทธิทางภาษี

ค่าใช้จ่ายในการดูแลก่อนคลอดและการคลอดบุตรสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ (กระทรวงการคลัง)

มรดก

เด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มีสิทธิ์รับมรดกจากคู่สมรสที่ตั้งครรภ์ ผู้บริจาคอสุจิไม่มีสิทธิ์รับมรดกหรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ

ทางเลือกส่วนตัว: RattleStork – ปกป้องทางกฎหมาย

แพลตฟอร์ม RattleStork ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาโปรไฟล์ผู้บริจาคอสุจิแบบเฉพาะเจาะจง พร้อมตัวกรองเช่น กลุ่มเลือด ประวัติการศึกษา และจัดทำข้อตกลงทางกฎหมายล่วงหน้า

ค้นหาผู้บริจาคอสุจิผ่าน RattleStork
RattleStork ช่วยจัดการบริจาคอสุจิส่วนตัวอย่างเป็นทางการ

ข้อมูลเพิ่มเติม: RattleStork – จัดการบริจาคอสุจิส่วนตัว

RattleStork มีแบบฟอร์มสัญญาและเอกสารข้อมูลเพื่อความแน่นอนทางกฎหมาย ทั้งด้านสิทธิการเลี้ยงดู พันธะ และการติดต่อกับผู้บริจาค

แหล่งข้อมูลกฎหมาย & ข้อมูลเพิ่มเติม

บทส่งท้าย

การบริจาคอสุจิในประเทศไทยได้รับการกำกับดูแลโดยแพทยสภาและกฎหมายสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้ความปลอดภัยทางการแพทย์และคุ้มครองสิทธิของเด็ก รวมถึงการวางเงื่อนไขทางกฎหมายสำหรับคู่สมรสและผู้บริจาค การใช้แพลตฟอร์มอย่าง RattleStork ควรทำควบคู่กับการจัดทำสัญญาทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนและปลอดภัยสูงสุดในการสร้างครอบครัว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)