การบริจาคอสุจิในประเทศไทยเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายเพื่อการสร้างครอบครัว ทั้งในกลุ่มคู่สมรสและบุคคลโสด ภายใต้มาตรฐานทางการแพทย์และจริยธรรมที่กำหนดโดยแพทยสภา บทความนี้จะนำเสนอกรอบกฎหมายและข้อบังคับในปี 2025 อธิบายมาตรฐานการคัดกรอง ขั้นตอนทางคลินิก และให้ภาพรวมเรื่องภาระค่าเลี้ยงดู สิทธิทางภาษี มรดก รวมถึงทางเลือกส่วนตัวอย่าง RattleStork
กรอบกฎหมาย: ใครทำอะไรได้บ้างในการบริจาคอสุจิ?
- ประกาศแพทยสภา เรื่องมาตรฐานการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2540 และ 2544: กำหนดให้คลินิกที่ให้บริการ IVF, IUI และการบริจาคอสุจิต้องได้รับใบอนุญาต และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การตรวจคัดกรองผู้บริจาคโดยเคร่งครัด
- พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2558: คุ้มครองสิทธิของเด็กและกำหนดขั้นตอนการรับรองสิทธิของคู่สมรสที่เป็นผู้ตั้งครรภ์ ผู้บริจาคอสุจิจะไม่มีสถานะเป็นบิดา
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546–1547: กำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาตามการเกิดและการจดทะเบียนของคู่สมรส โดยกฎหมายไทยรับรองผู้เป็นมารดาโดยธรรมชาติเป็นแม่ และรับรองบิดาหลังการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น
- การห้ามค้ากำไร: อนุญาตให้บริจาคอสุจิได้ในลักษณะไม่หวังผลกำไรเท่านั้น ห้ามรับค่าตอบแทนจากการบริจาคอสุจิหรือไข่
กลุ่มเป้าหมาย: ใครสามารถใช้บริการบริจาคอสุจิได้บ้าง?
- คู่สมรสที่จดทะเบียนแล้ว: ต้องแสดงใบทะเบียนสมรส (รวมถึงคู่สมรสเพศเดียวกัน ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมการสมรสที่มีผลตั้งแต่ ม.ค. 2568)
- บุคคลโสด: กฎหมายหลักกำหนดให้ต้องมีใบทะเบียนสมรส แต่บางคลินิกอาจให้บริการผู้หญิงโสดได้ โดยไม่มีเงื่อนไขการเป็นคู่สมรส
ความปลอดภัยทางการแพทย์
คลินิกต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการคัดกรองผู้บริจาคตามประกาศแพทยสภา ซึ่งครอบคลุมการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV, ไวรัสตับอักเสบบี/ซี, ซิฟิลิส และตรวจคัดกรองภาวะทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย รวมถึงการประเมินสุขภาพทางจิตก่อนบริจาค และกักเก็บตัวอย่างอย่างน้อย 6 เดือนก่อนนำมาใช้
ขั้นตอนการบริจาคอสุจิในคลินิก
- การปรึกษา: ให้คำแนะนำทางการแพทย์และจิตวิทยา
- การคัดเลือกผู้บริจาค: จากธนาคารอสุจิหรือโปรไฟล์บนแพลตฟอร์ม
- การตรวจร่างกายและคัดกรอง: ตามมาตรฐานแพทยสภา
- การเตรียมตัวผู้รับบริการ: ติดตามรอบเดือนและตรวจภาวะฮอร์โมน
- การทำ IUI หรือ IVF: ฉีดหรือย้ายตัวอ่อนเข้าสู่มดลูก
- การติดตามผล: ทดสอบการตั้งครรภ์และดูแลหลังการรักษา
สิทธิของเด็ก: เด็กได้รับอะไรบ้าง?
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ พ.ศ. 2558 เด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์จะได้รับสถานะบุตรของคู่สมรสที่ตั้งครรภ์ และมีสิทธิ์ในการรับมรดก-ภาระค่าเลี้ยงดู ส่วนผู้บริจาคอสุจิจะไม่มีสถานะเป็นบิดาและไม่มีภาระผูกพันทางกฎหมาย
Co-Parenting และรูปแบบผู้ปกครองหลายคน
กฎหมายไทยรับรองการเป็นผู้ปกครองได้เพียงสองคนเท่านั้น ได้แก่ มารดาและบิดา หากต้องการโมเดลผู้ปกครองมากกว่า 2 คน ต้องทำข้อตกลงส่วนตัว (Co-Parenting Contract) ซึ่งไม่มีผลทางกฎหมายเป็นผู้ปกครองร่วม
ภาระค่าเลี้ยงดู, สิทธิทางภาษี และมรดก
ภาระค่าเลี้ยงดู
ผู้บริจาคอสุจิไม่มีภาระค่าเลี้ยงดูตามกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับสถานะเป็นบิดา
สิทธิทางภาษี
ค่าใช้จ่ายในการดูแลก่อนคลอดและการคลอดบุตรสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ (กระทรวงการคลัง)
มรดก
เด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มีสิทธิ์รับมรดกจากคู่สมรสที่ตั้งครรภ์ ผู้บริจาคอสุจิไม่มีสิทธิ์รับมรดกหรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ
ทางเลือกส่วนตัว: RattleStork – ปกป้องทางกฎหมาย
แพลตฟอร์ม RattleStork ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาโปรไฟล์ผู้บริจาคอสุจิแบบเฉพาะเจาะจง พร้อมตัวกรองเช่น กลุ่มเลือด ประวัติการศึกษา และจัดทำข้อตกลงทางกฎหมายล่วงหน้า

ข้อมูลเพิ่มเติม: RattleStork – จัดการบริจาคอสุจิส่วนตัว
RattleStork มีแบบฟอร์มสัญญาและเอกสารข้อมูลเพื่อความแน่นอนทางกฎหมาย ทั้งด้านสิทธิการเลี้ยงดู พันธะ และการติดต่อกับผู้บริจาค
แหล่งข้อมูลกฎหมาย & ข้อมูลเพิ่มเติม
- ประกาศแพทยสภา เรื่องมาตรฐานการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2540 และ 2544
- พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2558
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546–1547
- Family planning in Thailand: Laws, rules, and regulations – Mali Fertility
- PWC Thailand – Deductions: ค่าดูแลก่อนคลอดและคลอดบุตร
บทส่งท้าย
การบริจาคอสุจิในประเทศไทยได้รับการกำกับดูแลโดยแพทยสภาและกฎหมายสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้ความปลอดภัยทางการแพทย์และคุ้มครองสิทธิของเด็ก รวมถึงการวางเงื่อนไขทางกฎหมายสำหรับคู่สมรสและผู้บริจาค การใช้แพลตฟอร์มอย่าง RattleStork ควรทำควบคู่กับการจัดทำสัญญาทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความชัดเจนและปลอดภัยสูงสุดในการสร้างครอบครัว