การบริจาคอสุจิในประเทศไทยทำได้โดยชอบกฎหมายแต่ถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด คู่มือนี้สรุปให้เข้าใจง่ายว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ความต่างระหว่างการรักษาในคลินิกที่ได้รับอนุญาตกับการทำเองที่บ้าน ใครเป็น “บิดา/มารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย” สิทธิของผู้ที่เกิดจากการบริจาค และจุดเสี่ยงด้านกฎหมาย/การแพทย์/ข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องวางแผน หากคุณจัดการแบบส่วนตัวผ่าน RattleStork ด้านล่างมีเช็กลิสต์ปฏิบัติพร้อมลิงก์ไปยังแหล่งหลักของไทย เช่น พระราชบัญญัติและแนวทางของหน่วยงาน (ภาพรวม พ.ร.บ. ART).
กรอบกฎหมายหลักของไทย
การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (ART) อยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดนิยาม ขั้นตอน สิทธิและหน้าที่ของคู่สมรส ผู้บริจาค และสถานพยาบาล (ฉบับแปลอังกฤษที่ใช้กันทั่วไป: ไฟล์ PDF; บทวิเคราะห์: Stasi 2017, Hibino 2020).
- ต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต ภายใต้มาตรฐานคัดกรอง การเก็บข้อมูล และการให้ความยินยอมที่เป็นลายลักษณ์อักษร
- ห้ามเชิงพาณิชย์ การจ่ายค่าตอบแทนเพื่อการบริจาคเกินค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเป็นสิ่งต้องห้าม คลินิกใหญ่ยืนยันหลักการนี้ชัดเจน (Bumrungrad FAQs)
- การตั้งครรภ์แทน เชิงพาณิชย์ถูกห้ามตั้งแต่ปี 2015 และจำกัดเข้มมากสำหรับชาวต่างชาติ (Harvard Petrie-Flom; Brooklyn JIL 2016)
- ทิศทางนโยบายล่าสุด มีการเสนอแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติที่สมรสถูกต้อง (รวมคู่รักเพศเดียวกัน) เข้าถึงบริการอุ้มบุญในไทย แต่ยังต้องผ่านกระบวนการอนุมัติตามขั้นตอนทางนิติบัญญัติ (Reuters 1 มี.ค. 2024; The Straits Times 2 เม.ย. 2024)
บริจาคผ่านคลินิก vs ทำเองที่บ้าน
ในคลินิกที่ได้รับอนุญาต
- สถานะบิดาโดยชอบ: เมื่อเอกสารยินยอมทางคลินิกถูกต้อง ผู้บริจาคไม่เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิความเป็นพ่อแม่ผูกกับคู่สมรส/ผู้ตั้งใจมีบุตรตามเงื่อนไขใน พ.ร.บ. ART (สรุปกฎหมาย)
- มาตรฐานความปลอดภัย: มีการคัดกรองโรคติดต่อ (HIV, ไวรัสตับอักเสบ บี/ซี, ซิฟิลิส ฯลฯ) การเก็บรักษาแช่แข็ง/กักกัน และบันทึกตามรอย
- ข้อมูลผู้บริจาค: โดยปฏิบัติการในไทยยังเป็น ไม่เปิดเผยตัวตน เป็นหลัก แต่บางสถาบันให้ข้อมูลเชิงลักษณะและเวชระเบียนที่ไม่ทำให้ระบุตัวบุคคล (Bumrungrad)
ทำเองที่บ้าน/นอกระบบ
- ความเสี่ยงทางกฎหมาย: ไม่มีเอกสารยินยอมมาตรฐานและหลักฐานลูกโซ่ตัวอย่าง → เสี่ยงต่อข้อพิพาทเรื่องการรับรองบุตร/ค่าเลี้ยงดู และปัญหาคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- ความเสี่ยงทางการแพทย์: ขาดการตรวจคัดกรอง/กักกันตัวอย่างและการกำกับคุณภาพ → เพิ่มความเสี่ยงโรคติดต่อและภาวะแทรกซ้อน
ใครใช้การบริจาคอสุจิได้ในไทย?
โดยหลักขึ้นกับดุลยพินิจและนโยบายของสถานพยาบาลภายใต้กรอบ พ.ร.บ. ART: คู่สมรสต่างเพศ คู่สตรี และสตรีโสดสามารถเข้ารับบริการในหลายคลินิกเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และผ่านการประเมินตามมาตรฐาน (แนวปฏิบัติและคำอธิบายทั่วไปดูได้ที่ PIA Health Group และ Bumrungrad FAQs).
สถานะบุตรโดยชอบ:สถานการณ์ที่พบได้
- รักษาในคลินิก—คู่สมรสต่างเพศ: เมื่อแบบฟอร์มยินยอมครบถ้วน คู่สมรสที่มิใช่ผู้บริจาคเป็นบิดาโดยชอบ/ผู้ปกครองตามกฎหมาย ผู้บริจาคไม่มีสิทธิ/หน้าที่ของบิดา
- รักษาในคลินิก—สตรีโสดหรือคู่สตรี: การรับรองความเป็นมารดาและผู้ปกครองทำตามแบบฟอร์มและกระบวนการของคลินิกตามที่กฎหมายกำหนด
- ผู้บริจาคที่รู้จักกัน—ทำเองที่บ้าน: เสี่ยงสูงต่อข้อพิพาทเรื่องการรับรองบุตร ค่าเลี้ยงดู และการใช้อำนาจปกครอง → ควรปรึกษานิติกรก่อน
สิทธิการเข้าถึงข้อมูลของผู้ที่เกิดจากการบริจาค
- ไม่มีทะเบียนสาธารณะแบบรวมศูนย์ เหมือนบางประเทศ สิทธิการเข้าถึงข้อมูลขึ้นกับระเบียบคลินิกและกฎหมายความลับทางการแพทย์ของไทย (บทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบ: Stasi 2017)
- ข้อมูลที่เปิดเผยได้: โดยมากให้เฉพาะข้อมูลที่ไม่ระบุตัวบุคคล (เช่น ลักษณะทั่วไป/ผลตรวจสุขภาพ) ส่วนการเปิดเผยตัวตนขึ้นกับนโยบายคลินิกและความยินยอม (ภาพรวม Healthtrip 2023)
มาตรฐานทางการแพทย์ & ขั้นตอนในคลินิก (โดยสรุป)
คลินิกไทยใช้มาตรฐานการคัดกรองโรคติดต่อ การวิเคราะห์เชื้ออสุจิ การแช่แข็ง/กักกัน และระบบเอกสารยินยอมที่เข้มงวด (ดูตัวอย่างคำถามพบบ่อยของโรงพยาบาลเอกชน: Bumrungrad).
- พบแพทย์ & ให้ความยินยอม (ปรึกษากฎหมาย/จิตสังคมร่วมด้วยเมื่อจำเป็น)
- คัดเลือกผู้บริจาค ผ่านธนาคาร/คลินิก (โดยมากไม่เปิดเผยตัวตน เปิดเผยเฉพาะข้อมูลลักษณะ)
- เตรียมความพร้อม (ติดตามรอบเดือน/ยา ตามข้อบ่งชี้)
- ทำหัตถการ (IUI หรือ IVF/ICSI ตามข้อบ่งชี้)
- ติดตามผล (ทดสอบการตั้งครรภ์ บันทึกเวชระเบียนและเอกสารตามรอย)
ค่าใช้จ่าย การชดเชย และประเด็นปฏิบัติ
- การชดเชยผู้บริจาค: ห้ามเชิงพาณิชย์ อนุญาตได้เพียงชดเชยค่าใช้จ่ายตามจริงตามกฎของคลินิก (Bumrungrad)
- การนำเข้า/ส่งออกอสุจิ: ถูกจำกัดอย่างมาก/โดยทั่วไปไม่อนุญาต เว้นกรณีได้รับอนุมัติเป็นพิเศษ (Building Asian Families)
- ค่าใช้จ่ายผู้รับบริการ: แตกต่างตามคลินิกและแนวทางรักษา (IUI/IVF/ICSI) — ตรวจสอบแพ็กเกจจากคลินิกที่เลือก
อุ้มบุญ (Surrogacy): เงื่อนไขสำคัญในไทย
- ตั้งแต่ปี 2015 ไทยห้ามอุ้มบุญเชิงพาณิชย์และจำกัดอย่างเข้มงวดสำหรับชาวต่างชาติ (Petrie-Flom; Brooklyn JIL)
- ปี 2024 มีความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเปิดให้คู่ต่างชาติที่สมรสถูกต้อง (รวมคู่เพศเดียวกัน) เข้าถึงได้ แต่ยังไม่มีผลใช้บังคับ ณ วันที่ระบุ (Reuters; The Straits Times)
หลุมพรางทั่วไปในไทย—ควรระวัง
- ทำเองที่บ้าน: เสี่ยงถูกกล่าวอ้างความเป็นบิดา/ค่าเลี้ยงดู และไม่มีหลักฐานตามรอย/คัดกรองมาตรฐาน
- ความคาดหวังเรื่อง “เปิดเผยตัวตนผู้บริจาค”: ระบบไทยเน้นไม่เปิดเผยตัวตน ตรวจสอบนโยบายคลินิกอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ (Bumrungrad)
- ข้ามแดน: ข้อจำกัดด้านการนำเข้า/ส่งออกและความแตกต่างของกฎหมายต่างประเทศอาจทำให้เครือข่ายพี่น้องร่วมผู้บริจาคกว้างขึ้น — ต้องประเมินล่วงหน้า (ข้อมูลเชิงปฏิบัติ)
- เอกสารถูกต้อง: แบบฟอร์มยินยอมผิด/ไม่ครบถ้วน อาจทำให้สถานะบิดา/มารดาที่ตั้งใจไว้มีปัญหา
เช็กลิสต์ปฏิบัติเมื่อใช้ RattleStork (บริจาคส่วนตัวในไทย)
- ทำงานร่วมกับคลินิกที่ได้รับอนุญาตเสมอ เพื่อการคัดกรอง/กักกัน/บันทึกและเอกสารยินยอมตาม พ.ร.บ. 2558 (สรุปกฎหมาย)
- ยืนยันตัวตนคู่สัญญา ทำหนังสือยินยอมและข้อตกลงที่ชัดเจน เก็บสำเนาเอกสารทุกฉบับ
- ตรวจสอบข้อจำกัดเชิงพาณิชย์และการขนส่งข้ามแดนกับคลินิกก่อนทุกครั้ง (Bumrungrad; Building Asian Families)
- กรณีที่ซับซ้อน (คู่ต่างชาติ/อุ้มบุญ) ให้ปรึกษานักกฎหมายไทยเฉพาะทาง เพราะมีบทลงโทษและปัญหาสัญชาติ/การจดทะเบียนตามมา (Thai Business Law Firm)

สรุป
ไทยเปิดให้บริจาคอสุจิภายใต้กรอบ พ.ร.บ. ปี 2558 โดยเน้นการทำในคลินิก การคัดกรองที่เข้มงวด การไม่เปิดเผยตัวตนผู้บริจาค และการห้ามเชิงพาณิชย์ (แนวทางคลินิก). อุ้มบุญเชิงพาณิชย์และสำหรับชาวต่างชาติยังถูกจำกัดอย่างมาก แม้มีความพยายามแก้กฎหมายในปี 2024 ที่ยังไม่เสร็จสิ้น (Reuters). หากต้องการความเสี่ยงต่ำสุด เลือกทำผ่านคลินิก เอกสารครบ ตรวจคัดกรองครบ และบันทึกตามรอยชัดเจน — หลีกเลี่ยงการทำเองที่บ้านเพื่อป้องกันปัญหากฎหมายและสุขภาพในระยะยาว

